- หลีกเลี่ยงยาที่อาจทำให้เลือดออก
การมีเลือดออกหลังการศัลยกรรมแปลงเพศเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่โอกาสที่เลือดจะไหลออกมากค่อนข้างต่ำหากได้รับการศัลยกรรมโดยศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตาม ที่คลินิกศัลยกรรมความงามนายแพทย์เชฏฐวุฒิยังไม่เคยพบภาวะเลือดออกอย่างรุนแรงจากการศัลยกรรมในคนไข้ของเรา และไม่มีคนไข้ที่เลือดออกจากการศัลยกรรมจนต้องรับการถ่ายเลือด เพราะในระหว่างการผ่าตัด แพทย์จะควบคุมและคอยหยุดเลือดด้วยการจี้ด้วยไฟฟ้าและการใช้สารห้ามเลือดร่วมกัน
ยาบางชนิดหรือโรคประจำตัวบางอย่างมีส่วนในการเพิ่มความเสี่ยงให้เลือดออกในระหว่างการศัลยกรรม จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่คนไข้ห้ามปิดบังข้อมูลเกี่ยวกับสภาพร่างกายหรือโรคประจำตัวต่าง ๆ
***คนไข้ต้องหยุดทานยาดังต่อไปนี้อย่างเด็ดขาด 2 สัปดาห์ก่อนวันศัลยกรรม***
-Aspirin (ASA) หรือ Baby Aspirin หรือยาที่มีส่วนผสมของ Aspirin เช่น ยาที่มีส่วนผสมของ Oxycodone และ Aspirin (Percodan Endodan และอื่น ๆ)
-ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น Coumadin (Warfarin) Pradaxa Brilinta Clopidogrel Dipyridamole Persantine Plavix Pletal Ticagrelor Ticlopidine Ticlid Trental และอื่น ๆ
-ยาในกลุ่ม NSAID (ยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์) เช่น Advil Celebrex Diclofenac Dolabid Feldene Ibuprofen Indocin Indomethacin Mefenamic Meloxicam Norgesic และ Piroxicam
-วิตามินอี
-ยารักษาอาการซึมเศร้าบางชนิด หรือที่รู้จักกันในนาม Selective Serotonin Reuptake Inhibitors (SSRIs) เช่น Prozac (Fluoxetine) และ Paxil (Paroxetine)
- การสวนล้างลำไส้ก่อนการศัลยกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อที่แผล
เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อที่แผล ก่อนการศัลยกรรม คนไข้ต้องทำการสวนล้างลำไส้เพื่อป้องกันการขับถ่ายระหว่างการผ่าตัดหรือช่วงแรกของการพักฟื้น
คำแนะนำในการสวนล้างลำไส้
ก่อนการผ่าตัดแปลงเพศ คนไข้ต้องทำความสะอาดลำไส้อย่างน้อย 3 วัน โดยมีรายละเอียดดังนี้
- คนไข้ต้องเปลี่ยนมาทานอาหารเหลวใส 3 วันก่อนการศัลยกรรมแปลงเพศ
- คนไข้ต้องทานยาระบายและทำการสวนอุจจาระด้วยยา Fleet Enema 2 วันก่อนการศัลยกรรมแปลงเพศ
- คนไข้ต้องทานยา Swiff (Sodium Phosphate Oral Solution) 1 วันก่อนการศัลยกรรมแปลงเพศ
หมายเหตุ: Swiff คือยาระบายแบบ Hyper Osmotic ที่มีฤทธิ์แรง จะทำให้เกิดการขับถ่ายอย่างฉับพลันและมีการขับถ่ายซ้ำในระยะเวลาหนึ่งถึงสองชั่วโมง คนไข้ควรผสมยากับเครื่องดื่ม เช่น โค้ก สไปรท์ หรือน้ำผลไม้ เข้ากับยาในจำนวนที่ต้องการและดื่มให้หมดอย่างรวดเร็ว
- การหดตัวหรือการสูญเสียความลึกของช่องคลอดหลังการศัลยกรรมแปลงเพศ
โดยเฉลี่ยแล้ว การศัลยกรรมแปลงเพศแบบมาตรฐานด้วยเทคนิคการปลูกถ่ายผิวหนังจะได้ช่องคลอดความลึกประมาณ 6.5 นิ้ว ส่วนการศัลยกรรมแปลงเพศด้วยการใช้ลำไส้ใหญ่จะได้ช่องคลอดที่ความลึกประมาณ 8.5 นิ้ว การหดตัวหรือการสูญเสียความลึกของช่องคลอดสามารถเกิดขึ้นได้จากหดตัวของผิวหนังที่ได้รับการปลูกถ่ายหากคนไข้ไม่ทำไดเลชั่นให้ถูกต้องหรือเพียงพอตามตารางที่กำหนด
คำแนะนำ:
- สำหรับคนไข้ที่ศัลยกรรมแปลงเพศด้วยเทคนิคการปลูกถ่ายผิวหนัง แพทย์เน้นว่าคนไข้ต้องทำการกดแท่งไดเลชั่นอย่างนุ่มนวลและสม่ำเสมอ โดยให้ปลายแท่งไดเลชั่นชนกับฐานของช่องคลอดเพื่อป้องกันการหดตัวของผิวหนัง
- สำหรับคนไข้ที่ศัลยกรรมแปลงเพศด้วยเทคนิคการใช้ลำไส้ใหญ่ แพทย์เน้นว่าคนไข้ต้องใช้แท่งไดเลชั่นที่มีขนาดเหมาะสม (แท่งไดเลชั่นขนาด 32 มม. หรือใหญ่กว่า) เพื่อหลีกเลี่ยงการหดตัวของ ring scar บริเวณรอบปากช่องคลอด (จุดเชื่อมต่อระหว่างผิวหนังและ colon mucosa)